พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาโหมด (ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์) ประสูติเมื่อ วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖ ขณะทรงมีพระชนมายุ ๔๓ พรรษา
ด้วยพระกรณียะกิจตลอดระยะเวลาที่ทรงรับราชการทหารเรือส่งผลให้กิจการทหารเรือมีความเจริญก้าวหน้า สามารถทำหน้าที่รั้วของชาติทางทะเลได้อย่างเข้มแข็งสืบต่อมาจนปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอเนกอนันต์ยิ่ง กองทัพเรือจึงได้ประกาศถวายสมัญญานามพระองค์ ว่า “องค์บิดาของทหารเรือไทย” และได้กำหนดให้ วันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปี เป็น “วันอาภากร”
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/12/B1BBA4CB-C7CA-4D11-A570-7752CF67FF8B.jpeg)
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงมีพระขนิษฐา และพระอนุชาร่วมพระมารดาเดียวกันสอง พระองค์ คือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา และพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธุ์ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงทิพย์สัมพันธ์ (หม่อมเจ้าหญิงทิพย์สัมพันธวงษ์) พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2020/05/P0198_3.jpg)
เมื่อครั้งทรงเยาว์วัย พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงรับการศึกษาเบื้องต้นในพระบรมมหาราชวังโดยมีพระศรีสุนทรโวหาร พระยาอิศรพันธ์ โสภณ (หม่อมราชวงศ์หนู อิศรางกูร) เป็นพระอาจารย์ และนายโรเบิร์ด โมแรนท์ เป็นพระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ต่อมาภายหลังทรงเข้าศึกษา ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2020/05/P0016_2-1-700x364.jpg)
ปีมะเส็งพุทธศักราช ๒๔๓๖ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์พระชนม์มายุย่าง ๑๓ พรรษา เป็นช่วงเวลาที่ประเทศสยามต้องเผชิญกับวิกฤตเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ( Franco-Siamese War หรือสงครามฝรั่งเศส-สยาม) จากเหตุการณ์ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสว่ากิจการของทหารเรือที่อาศัยชาวต่างชาติ
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2020/05/1463E04F0677495181D56ED747796996_1000-700x314.jpg)
เข้ามาประจำตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ นั้น ไม่อาจที่จะหวังในด้านการรักษาอธิปไตยของชาติได้ดีเท่ากับคนไทยเอง จึงทรงให้จัดการศึกษาแก่ทหารเรือไทยให้มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะรับตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ในเรือแทนชาวต่างชาติที่จ้างไว้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระราชโอรส หลายพระองค์ไปศึกษาวิชาการทหารยังประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก โดยพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ได้ไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นทรงพระยศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ ทั้งสองพระองค์ได้ศึกษาวิชาการเบื้องต้นร่วมกันจนถึงสมัยเมื่อจะทรงศึกษาวิชาการเฉพาะพระองค์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์จึงได้ทรงแยกไปศึกษาวิชาการทหารเรือ จึงนับว่่าพระองค์เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์แรกที่ได้ทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ต่างประเทศ
ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้มีพระวิริยะอุตสาหะจนผลการศึกษาปรากฏอยู่ในขั้นดีเยี่ยม และมีพระจริยวัตรที่งดงามเป็นที่รักใคร่ของ ครู อาจารย์ เป็นที่ยอมรับนับถือของชาวอังกฤษที่ได้ศึกษาอยู่ในคราวเดียวกัน
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/12/DE40CFCE-622C-46E2-9582-F6E795140EDE.jpeg)
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรกในพ.ศ. ๒๔๔๐ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ยังทรงเป็นนักเรียนนายเรืออยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้ทรงแสดงความสามารถในการเดินเรือ โดยขออนุญาตออกมารับเสด็จพระบรมชนกนาถ โดยได้ทรงเข้าร่วมกระบวนเสด็จที่เกาะลังกา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการตำแหน่งนักเรียนนายเรือ ในเรือพระที่นั่งมหาจักรี ภายในการบังคับบัญชาของกัปตันเรือพระที่นั่ง ในครั้งนั้นพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ถือท้ายเรือพระที่นั่งมหาจักรีด้วยพระองค์เอง แสดงความสามารถให้ปรากฏแก่พระเนตรพระกรรณ พระบรมราชชนกจึงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาวิชาการทหารเรือโรงเรียนนายเรืออังกฤษต่อไป ทรงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายเรือแห่งอังกฤษ ต่อจากนั้นทรงศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยทหารเรือ โรงเรียนปืนใหญ่ โรงเรียนตอร์ปิโด และทรงสอบผ่านหลักสูตรชั้นสูงสุดของโรงเรียนนายเรืออังกฤษ นับเวลาที่ทรงศึกษาอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ๖ ปีเศษจึงได้เสด็จกลับประเทศไทยโดยทางเรือ
ต่อมาพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ได้เสด็จลงเรือเมล์เยอรมันที่เมืองเยนัว วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๔๓ เสด็จพักแรมที่สิงค์โปร์หนึ่งคืนแล้วจึงเสด็จออกสิงคโปร์โดยเรือเมล์เช่นเดียวกันถึงปากน้ำเจ้าพระยาจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิธาดา ออกไปคอยรับเสด็จที่สมุทรปราการแล้วประทับรถไฟสายปากน้ำจากสมุทรปราการเข้ามายังพระนคร
เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาเป็นนายทหารสัญญาบัตรในราชนาวีอังกฤษแล้วได้เสด็จกลับเข้ารับราชการ ในกระทรวงทหารเรือ ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๓ รับพระราชทานยศเป็น “นายเรือโทผู้บังคับการ” ในตำแหน่ง นายธงผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/12/5123CCC1-5143-4226-80AC-0A6F4EDB634E-700x700.jpeg)
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม “กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์” ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ และทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ พระองค์ได้ทรงแก้ไขและปรับปรุงระเบียบของโรงเรียนนายเรือ และทรงริเริ่มการใช้ ระบบการปกครองบังคับบัญชา ตามระเบียบการปกครองในเรือรบ คือการแบ่งให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชารองลงมา ทรงเป็นพระอาจารย์ของนักเรียนนายเรือ ทรงจัดเพิ่มเติมวิชาสำคัญสำหรับทหารเรือ เพื่อให้เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว สามารถเดินเรือทางไกลในทะเลน้ำลึกได้ คือวิชา ดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ พีชคณิต การเดินเรือเรขาคณิต และ อุทกศาสตร์ ทรงปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ทหารเรือไทยมีความรู้ ความชำนาญ สามารถเป็นครู และเป็นผู้บังคับบัญชาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างประเทศ
ปีพุทธศักราช ๒๔๔๘ ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ได้ทรงปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ทหารเรือไทยมีความรู้ ความชำนาญ สามารถเป็นครู และเป็นผู้บังคับบัญชาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างประเทศ ในปีต่อมาทรงมีพระดำริ ในการจัดตั้งโรงเรียนนายช่างกล เพื่อรับผิดชอบเครื่องจักรในเรือ และในโรงงานบนบกแทนชาวต่างประเทศที่จ้างไว้
ทรงพัฒนากิจการทหารเรือเจริญรุดหน้าเป็นอย่างมาก จนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญและโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ทำให้กิจการทหารเรือมีรากฐานมั่นคงสืบมาจนปัจจุบัน
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ ทรงเป็นผู้บังคับการเรือหลวงมกุฎราชกุมารนำนักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายช่างกล ไปฝึกภาคต่างประเทศ ได้ทรงนำเรือแวะที่สิงคโปร์และเปลี่ยนสีเรือมกุฎราชกุมารจากสีขาวเป็นสีหมอกให้เหมือนกับเรือรบต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเล และภูมิประเทศ ซึ่งกองทัพเรือได้นำสีดังกล่าวมาใช้เป็นสีเรือทุกลำของกองทัพเรือตราบจนปัจจุบัน
ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเห็นความสำคัญของกิจการทหารเรือ จึงได้ทรงยกฐานะกรมทหารเรือเป็นกระทรวงทหารเรือ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และในปีต่อมาทรงออกจากประจำการชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทรงใช้เวลาศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณอย่างจริงจัง
ด้านการแพทย์แผนโบราณของไทย พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองโดยทรงตั้ง ชื่อตำรายาเล่มนี้ว่า “พระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม” นอกจากนั้นยังได้ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกคนจนหรือคนมี และมิได้คิดค่ารักษาหรือค่ายาแต่อย่างใด จนเป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไป และถวายพระนามพระองค์ท่านว่า “หมอพร”
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2018/12/18582056_1691142804246043_208889675758199893_n.jpg)
ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ สยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ เสด็จกลับเข้ารับราชการในตำแหน่ง เจ้ากรมจเรทหารเรือ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๑ ต่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดหาซื้อเรือในภาคพื้นยุโรป โดยเรือที่จะจัดซื้อนี้ได้รับพระราชทานนามว่า “เรือหลวงพระร่วง*” ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ นำเรือหลวงพระร่วงแล่นข้ามทวีปจากประเทศอังกฤษเข้ามายังกรุงเทพมหานครด้วยพระองค์เอง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทยเดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ทรงกำหนดเส้นทาง และทรงนำเรือกลับโดยพระองค์เอง โดยออกเดินทางจากประเทศอังกฤษในวันที่ ๒๐ กรกาคม ๒๔๖๓ ถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๖๓ รวมเวลาประมาณ ๙๐ วัน ซึ่งในเวลานั้นเทคโนโลยีที่จะช่วยในการเดินเรือ มีเพียงเรดาร์ และเครื่องวิทยุสำหรับติดต่อราชการ การนำเรือหลวงกลับด้วยพระองค์เป็นพระอัจฉริยภาพโดยแท้จริง
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2020/05/รับเรือหลวงพระร่วง-491x700.jpg)
นอกจากนี้ยังทรงจัดตั้งกองการบินทหารเรือ ทรงเปลี่ยนสีเรือรบของทหารเรือจากสีขาวเป็นสีหมอกให้เหมือนกับเรือรบต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเลและภูมิประเทศ ซึ่งกองทัพเรือได้นำสีดังกล่าวมาใช้เป็นสีเรือทุกลำของกองทัพเรือตราบจนปัจจุบัน
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/11/image-28.jpeg)
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระอิสริยศพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ ขึ้นเป็นกรมหลวงมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิงหนาม
ด้วยทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เล็งเห็นการณ์ไกล ในเวลาต่อมาจึงทูลเกล้าพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๖ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานที่ดินที่สัตหีบให้แก่กองทัพเรือเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๕ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพเรือ และหน่วยกำลังรบต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งมาจนถึงปัจจุบัน
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/11/83AE5AC4-72C0-4134-BAD1-4894ECA12E3F.jpeg)
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๖ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง พลเรือเอก เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ก่อนจะกราบบังคมทูลออกจากราชการ เสด็จไปประทับที่ชายทะเลหาดทรายรี ทางใต้ของปากน้ำเมืองชุมพร และสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคไข้หวัดใหญ่เนื่องจากถูกฝน ที่ ต.หาดทรายรี อ.เมือง จ.ชุมพร เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖ สิริพระชนมายุ ๔๓ พรรษา
ด้วยพระกรณียะกิจตลอดระยะเวลาที่ทรงรับราชการทหารเรือ ส่งผลให้กิจการทหารเรือ มีความเจริญก้าวหน้า สามารถทำหน้าที่รั้วของชาติทางทะเลได้อย่างเข้มแข็งสืบต่อมา ซึ่งนับเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง กองทัพเรือจึงได้ประกาศขนานพระนามเป็น “องค์บิดาของทหารเรือไทย” และได้กำหนดให้วันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปี เป็น “วันอาภากร”
พระกรณียะกิจด้านทหารเรือโดยสรุป
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓
- ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศอังกฤษ
- ทรงดำรงพระอิสริยศนายเรือโทผู้บังคับการ ตำแหน่งนายธงของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ ศิลปาคม (ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ)
- ทรงริเริ่มกำหนดแบบสัญญาณสองมือและโคมไฟ การฝึกพลอาณัติสัญญาณ (ทัศน สัญญาณ)
พ.ศ.๒๔๔๕
- ทรงจัดตั้งหน่วยฝึกพลทหารที่บางพระ จังหวัดชลบุรี
- ทรงจัดระเบียบราชการกรมทหารเรือ
พ.ศ. ๒๔๔๘
- ทรงริเริ่มจัดทำโครงการป้องกันประเทศทางทะเล และทรงปรับปรุงกิจการทหารเรือ สยามให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล
- ทรงขอพระราชทานที่ดินเพื่อการจัดตั้งโรงเรียนนายเรือที่พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี ทรงฝึกสอนทหารเรือด้วยพระองค์เองและทรงปรับปรุงหลักสูตรโรงเรียนนายเรือ
พ.ศ. ๒๔๔๙
- ทรงนำนักเรียนนายเรือทั้งหมดไปฝึกหัดทางทะเล บริเวณภาคตะวันออกของอ่าวไทยจนถึงจังหวัดจันทบุรีพ.ศ. ๒๔๕๐
- ทรงนำนักเรียนนายเรือและนักเรียนนายช่างกลไปฝึกทางทะเล นำเรือไทยบังคับการโดยคนไทยไปถึงต่างแดน เช่น สิงคโปร์ ปัตตาเวีย ชวา และเกาะบิลลิตัน (ประเทศฟิลิปปินส์) ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
พ.ศ. ๒๔๖๐
- ทรงดำรงตำแหน่งนายพลเรือโท เสนาธิการทหารเรือ
พ.ศ. ๒๔๖๑
- ทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ
- ประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑
- ทรงดำริให้มีการสร้างฐานทัพเรือที่สัตหีบ จังหวัดชลบุรี การจัดตั้งกองกำลังอากาศนาวี ซึ่งชาวนักบินนาวีถือว่า ทรงเป็นพระบิดาแห่งการบินนาวี
- ทรงทำหน้าที่ข้าหลวงพิเศษดำเนินการสรรหาซื้อเรือรบ ณ ประเทศอังกฤษ ทรงนำเรือรบที่จัดซื้อนั้นเดินทางกลับถึงประเทศ และเข้าประจำการในกองทัพเรือชื่อ เรือหลวงพระร่วง เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๓
พ.ศ.๒๔๖๓
- ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหลวงและทรงได้รับพระราชทานยศพลเรือเอก
พ.ศ.๒๔๖๖
- ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
- ทรงลาออกจากราชการเสด็จไปประทับ ณ ชายทะเลหาดทรายรี จังหวัดชุมพร จนถึงช่วงปลายแห่งพระชนม์ชีพ
งานอดิเรก
ทรงสนพระทัยใน กีฬามวยและ กระบี่กระบอง กีฬาแล่นใบในทะเล ก็นับว่าทรงโปรดมากที่สุด
ในด้านการดนตรี ก็ทรงมีความสามารถชำนาญทาง ดนตรีดีดสีตีเป่า ทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล การขับร้อง เพลงไทย ทั้งยังทรงนิพนธ์บทเพลงเองก็มี โดยเฉพาะบทเพลงที่ทรงนิพนธ์เกี่ยวกับวิชาทหารเรือนั้น มีสาระสำคัญในการปลุกใจให้เข้มแข็ง ส่งเสริมกำลังใจให้มีความรักชาติ รักหน้าที่ รักเกียรติ รักวินัย รักหมู่คณะ และให้เกิดความมุมานะ กล้าตายไม่เสียดายชีวิตในยามศึก บทเพลงชองพระองค์ท่านนั้นเป็นที่จับใจของผู้ฟัง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นทหารเรือ แม้ปัจจุบันจะมีเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ อีกหลายเพลงใน ทำนองเดียว กันนี้ แต่หาได้เป็นที่ซาบซึ้งในอย่างเพลงของพระองค์ท่านไม่ ฉะนั้น จึงได้จดจำ และร้องต่อ ๆ กันมาจนกลายเป็นเพลงประจำของทหารเรือและบรรดาทหารเรือทั้งหลายก็รับไว้เป็น อนุสรณ์แห่งพระองค์ท่านโดยเฉพาะ ” เพลงดอกประดู่ ” และเพลง ” เกิดมาทั้งที ”
*เรือหลวงพระร่วง เป็น เรือพิฆาตตอร์ปิโด้ จากสหราชอาณาจักร มีชื่อเดิมว่า เรเดียนท์ เป็นเรือของอังกฤษ เคยใช้รบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ สร้างที่ บริษัท ทอร์นิครอฟท์ เมืองเซาธัมพ์ตัน สหราชอาณาจักร เมื่อกุมภาพันธ์ ๒๔๖๐ มีระวางขับน้ำ ๑๐๔๖ ตัน, ความเร็ว ๓๕ นอต, อาวุธประจําเรือ ได้แก่ ปืนใหญ่ขนาด ๑๐๒ มิลลิเมตร จํานวน ๓ กระบอก ปืนใหญ่ขนาด ๗๖ มิลลิเมตร จํานวน ๑ กระบอก ปืนขนาด ๔๐ มิลลิเมตร จํานวน ๒ กระบอก ปืนขนาด ๒๐ มิลลิเมตร จํานวน ๒ กระบอก ตอร์ปิโด ๒๑ นิ้ว จํานวน ๔ ท่อ รางปล่อยระเบิดลึกและแท่นยิงระเบิดลึก จํานวน ๒ แท่น และกําลังพลประจําเรือ ๑๓๕ นาย ถือว่าเป็นเรือรบที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น (ที่มา : ๗ ต.ค.๒๔๖๓ เรือหลวงพระร่วง เรือรบลำแรกของไทยมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_39883)
อ้างอิง http://bus.rmutp.ac.th/