วันปิยมหาราช
(English: Chulalongkorn Day) ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็น “วันปิยมหาราช” ซึ่งประชาชนคนไทยทั้งชาติค่ะถือเป็นวันแห่งการน้อมรำลึกถึงพระองค์อย่างไม่มีเสื่อมคลาย
พระมหากรุณาธิคุณต่อชาวไทย
ในห้วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ มีความต้องการแรงงานและทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล ประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกจึงแสวงหาอาณานิคมมาทางเอเชียด้วยเห็นว่ามีแรงงานที่อ่อนแอและง่ายต่อการปกครอง ทั้งยังมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
ด้วยพระวิจารณญาณและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศ ทรงส่งราชทูตไปประจำประเทศต่างๆ อีกทั้งยังเสด็จประพาสประเทศต่างๆ ในยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธ์ไมตรีด้วยพระองค์เอง และโปรดเกล้าฯให้พระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาในยุโรป ซึ่งได้ทั้งวิชาความรู้และเป็นการเจริญวิเทโศบายเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจส่งผลให้ประเทศสยามในเวลานั้นรอดพ้นจากลัทธิล่าอาณานิคม
พระมหากรุณาธิคุณต่อกิจการทหารเรือ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระบุพการีของกองทัพเรือ
ด้วยในสมัยโบราณยังมิได้มีการแบ่งแยกกำลังรบทางเรือออกจากทางบก จวบจนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเริ่มมีการแบ่งแยกกำลังรบทางเรือออกจากทางบก
เมื่อครั้งเริ่มแรกตั้งกรมทหารเรือนั้น กิจการทหารเรือบางประเภทยังขาดบุคคลที่มีความรู้ความชำนาญ จำเป็นต้องจ้างชาวต่างประเทศเข้ามารับราชการตามตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ อาทิผู้บังคับการเรือ และผู้บัญชาการป้อมต่างๆ
ต่อมาภายหลังเหตุการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ.2436) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า กิจการของทหารเรือเท่าที่อาศัยชาวต่างประเทศเข้ามาประจำตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ นั้น ไม่อาจที่จะหวังในด้านการรักษาอธิปไตยของชาติได้ดีเท่ากับคนไทยเอง พระองค์มีพระราชประสงค์ให้จัดการศึกษาแก่ทหารเรือไทย ให้มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะรับตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ในเรือแทนชาวต่างชาติที่จ้างไว้ต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระราชโอรสสองพระองค์ไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือยังต่างประเทศ คือ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ให้ไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ และ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ ให้ไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศเยอรมันนี ( พ.ศ.2454-2456)
ในกาลต่อมา พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ได้ทรงริเริ่มวางรากฐานกิจการทหารเรือ ทรงจัดทำแผนการทหารเรือ แผนการทัพเรือ ทรงประสิทธิ์ประสาทวิชาการทหารเรือ ทรงจัดการศึกษาทางยุทธศาสตร์ยุทธวิถีและกระบวนรบทำให้กองทัพเรือมีความเข้มแข็ง มั่นคง มีประสิทธิภาพ และเจริญก้าวหน้าเป็นที่ประจักษ์ จวบจนทุกวันนี้ ทหารเรือตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันต่างสำนึกในพระเมตตาจึงพร้อมใจกันถวายสมัญญานาม ว่า “องค์บิดาของทหารเรือไทย”
พระราชโอรสที่ทรงวางพระทัยให้ไปศึกษาวิชาด้านการทหารเรืออีกหนึ่งพระองค์ คือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นนักเรียนนายเรือเยอรมัน รุ่น 2455 แม้ว่าจะทรงรับราชการในกองทัพเรือเป็นระยะเวลาอันสั้น แต่ทรงมีคุณูปการแก่กองทัพเรืออย่างใหญ่หลวง จึงทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น ”เจ้าฟ้าทหารเรือ” และด้วยทรงมีความเชี่ยวชาญทางเรือดำน้ำ และเรือตอร์ปิโดรักษาฝั่ง ซึ่งทรงศึกษาจากประเทศเยอรมันนี จึงทรงถวายบันทึกรายงานความเห็นโครงการเกี่ยวกับเรือดำน้ำไว้ เรื่อง “ เรือ ส.” ซึ่งแม้ไม่ได้ใช้ในขณะนั้นแต่ก็มีผลให้อีกยี่สิบปีต่อมากองทัพเรือได้จัดหาเรือดำน้ำมาประจำการถึง 4 ลำ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเห็นความสำคัญของการให้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศในตำแหน่งสำคัญทางทหาร จึงได้มีการจัดส่งนายทหารไปรับการศึกษาจากต่างประเทศอีก มีการพัฒนาทั้งองค์บุคคลและองค์วัตถุควบคู่กันไป ปรับปรุงกำลังรบทางเรือให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทรงจัดการการศึกษาแก่ทหารเรือไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารเรือ จัดการฝึกสอนวิชาการทหารเรือขึ้น โดยเริ่มตั้งโรงเรียนขึ้นครั้งแรกที่บริเวณอู่หลวงใต้วัดระฆัง ตรงข้ามท่าราชวรดิฐ สำหรับอบรมนายทหารชั้นประทวน หรือฝ่ายช่างกลและเดินเรือ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนนายสิบ นายร้อยทหารเรือฝ่ายบกขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2438 ภายหลังเหตุการณ์ ร.ศ.112 เพียง 2 ปี (โรงเรียนนายสิบทหารเรือเป็นต้นกำเนิดโรงเรียนชุมพลทหารเรือ)
และในปี พ.ศ.2440 ได้จัดตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารเรือขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่ง จนถึงปี พ.ศ.2442 ได้จัดตั้งโรงเรียนนายเรือ ขึ้นที่ วังนันทอุทยาน (สวนอนันต์) มีนายนาวาโท ไซเดอลิน (Seidelin) เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือคนแรก
ทั้งนี้ในปี พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกกรมทหารเรือออกจาก กระทรวงยุทธนาธิการ เป็นกรมอิสระ เพื่อจัดหน้าที่การงานเฉพาะส่วนของกรมทหารเรือได้โดยสิทธิ์ขาด ตั้งแต่นั้นมากิจการของกรมทหารเรือก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นไปตามแบบอารยประเทศทางยุโรป