ท่าราชวรดิฐ
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/09/S__14147606.jpg)
คนส่วนใหญ่มักสับสนในการเรียกชื่อท่าน้ำทางทิศตะวันตกของพระบรมมหาราชวัง ระหว่างชื่อ ท่าราชวรดิฐ กับ ท่านิเวศน์วรดิฐ ผู้เขียนจึงได้ค้นคว้าหาข้อมูลด้วยสงสัยเช่นเดียวกันว่าที่ถูกคือชื่อใด ซึ่งได้ความว่า ท่าราชวรดิฐ กับ ท่านิเวศน์วรดิฐ เป็นท่าน้ำสองท่าที่อยู่ในบริเวณใกล้กัน
ท่าราชวรดิฐ เป็นท่าเทียบเรือเฉพาะเรือพระที่นั่งของพระมหากษัตริย์ มีมาตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เดิมเรียกกันว่า พระฉนวนน้ำ โดยมีกำแพงฉนวนกั้นมาจากประตูพระบรมมหาราชวังฝ่ายในจนถึงบริเวณริมน้ำ ที่ท่าทำเป็นศาลาใหญ่มุงกระเบื้องมีช่อฟ้าใบระกา 1 หลัง ด้านหน้าศาลามีมุขลดเล็กๆ เป็นซุ้มประตูไม้ตรงต้นสะพาน เป็นที่เสด็จประทับเมื่อมีพระราชพิธีลอยพระประทีปในเดือนสิบเอ็ด สิบสอง และเป็นที่พาดบันไดประทับเรือพระที่นั่ง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2327 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดให้สร้างพระตำหนักแพลอยขนาด 5 ห้อง จอดไว้ทางเหนือ ภายหลังโปรดให้รื้อพระตำหนักแพลอยน้ำในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แล้วโปรดให้สร้างพระที่นั่งสามหลังที่ริมน้ำตรงพระฉนวนน้ำเดิม มีลักษณะเป็นเรือนไม้มีฝากระดานรอบสามด้าน ด้านหน้าเป็นกรงตั้งอยู่บนคานปลายเสาตอม่อคล้ายเรือนแพ หลังคามุงกระเบื้องมีช่อฟ้าใบระกา มุขด้านหน้าริมน้ำเป็นมุขลดสองชั้น หน้าบันประเจิด เสร็จสมบูรณ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกว่า พระตำหนักน้ำ เป็นตำหนักเล็กๆ ยื่นลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา
![แพพระมณฑป ในพระราชพิธีลงสรง ปี พ.ศ.2429](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/09/5336026B-B7FE-49D0-8702-7942AA5D3F9F-1024x576.png)
เหนือพระตำหนักขึ้นไปเป็นท่าจอดเรือพระที่นั่ง และเรือข้าราชการผู้ใหญ่เรียกกันว่า “ท่าขุนนาง” กระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะใหม่ โดยโปรดให้ถมที่ออกไปเสมอกัน สร้างพระที่นั่งหมู่ 4 องค์ และโปรดพระราชทานนามว่า “ท่าราชวรดิฐ” ดังพระราชนิพนธ์ว่า “แต่ท่านขุนนางนั้นเห็นว่าเป็นท่าอันควรที่จะมีชื่อ จึงให้ตั้งชื่อของท่านั้นว่า ท่าราชวรดิฐ ราชะ แปลว่า พระยามหากษัตริย์ วระ แปลว่า ประเสริฐ ดิฐ แปลว่า ท่าน้ำหรือฝั่งตลิ่ง ก็ได้ รวมสามคำว่า ราชวรดิฐ นั้น แปลรวมๆ รวบๆ ว่าท่าอันประเสริฐแห่งราชการดังนี้” (พระราชนิพนธ์ตอนหนึ่งเรื่องตำหนักแพในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ; รัชกาลที่๔)
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รื้อตำหนักเดิมแล้วลงเขื่อนถมที่ขึ้นเสมอพื้นแผ่นดิน สร้างพระที่นั่งขึ้นหมู่หนึ่งเป็นพลับพลาสูงตรงกลางหนึ่งองค์ พระราชทานพระนามว่า พระที่นั่งชลังคพิมาน ต่อจากพลับพลาสูงเข้าไปทางด้านตะวันออก มีพระที่นั่งสูงเป็นที่ประทับองค์หนึ่งพระราชทานนามว่าพระที่นั่งทิพยสถานเทพสถิตย์ ด้านเหนือลดพื้นต่ำลงมาเป็นท้องพระโรงผ่านหน้าองค์หนึ่งพระราชทานนามว่า พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย และด้านใต้เป็นพระที่นั่งเหมือนกับพระที่นั่งด้านเหนือ เป็นที่พักผ่อนฝ่ายในอีกพระองค์หนึ่ง พระราชทานนามว่า พระที่นั่งอนงค์ในสราญรมย์
ตรงหน้าพระที่นั่งชลังคพิมานใต้ท่าเสด็จลงเรือ ก่อเขื่อนทำสระเป็นที่สรงสระหนึ่ง ก่อกำแพงเป็นบริเวณข้างในทั้ง 3 ด้าน มีป้อมริมน้ำปลายกำแพงด้านเหนือ (ในภาพเป็นป้อมกำแพงสีขาว) พระราชทานชื่อว่า ป้อมพรหมอำนวยศิลป์ ป้อมข้างใต้ตรงกันชื่อว่า ป้อมอินทร์อำนวยศร
พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/09/21397665_1543084322380566_1268309102_n.jpg)
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/09/20747958_1978648545701528_4625411537879166292_o-1024x768.jpg)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งในท่าราชวรดิฐชำรุดทรุดโทรมลงมากจึงโปรดให้รื้อออก เหลือไว้เพียง พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย เพียงองค์เดียว นอกนั้นปรับพื้นที่ทำเป็นสนามหญ้าดังที่เห็นกันในปัจจุบัน ส่วนนาม “ท่าขุนนาง” ถูกนำไปใช้เรียกเป็นชื่อถนนสายสั้นๆ ที่แยกจากถนนมหาราชเข้าไปในบริเวณท่าราชวรดิฐว่า “ถนนท่าขุนนาง”
ท่านิเวศน์วรดิฐ
ท่านิเวศน์วรดิฐ เป็นท่าเทียบเรืออยู่ทางด้านทิศเหนือของท่าราชวรดิฐ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างท่าสำหรับเรือข้าราชการอีกท่าหนึ่ง จึงเรียกว่า ท่านิเวศน์วรดิฐ
![](https://navy24.org/wp-content/uploads/2017/09/S__14147634.jpg)
ปัจจุบันเป็นท่าเรือรับส่งข้าราชการทหารเรือเพื่อข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาจากฝั่งพระนครไปยังฝั่งธนบุรี โดยขึ้นตรงท่าน้ำราชนาวิกสภา